เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ก.พ. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธนะ เราพูดกันชินปาก“โลกนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอนิจจังวันพระไม่ได้มีหนเดียว” นี่ชาวพุทธพูดกันอย่างนั้นถ้าชาวพุทธพูดกันอย่างนั้น นี่เราเป็นชาวพุทธเพราะเราได้ศึกษามา ศึกษามา เราจำมาไงศึกษามาจำมามันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม แต่ถ้าเอาจริงเอาจังเอาจริงเอาจัง เราต้องทำจริงทำจังของเรา ถ้าเราทำจริงทำจังของเราเวลาเราทำจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริง ถ้ามันเป็นจริงนะ คนทำได้ก็ทำได้

อยู่ทางโลก ทางโลกถ้าใครประสบความสำเร็จของชีวิต เขาจะว่าความคิดของเขาฉลาดมาก คนทางโลกเวลาล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา เขาว่า“ทำไมมันทุกข์ยากขนาดนั้นทำไมทุกข์ยากขนาดนั้น” ความทุกข์ยากอย่างนั้นสิ่งนี้มันเป็นปัจจัยเป็นเครื่องอาศัย ความเป็นปัจจัยเป็นเครื่องอาศัย เราทำบุญกุศลกัน ทำบุญเพื่อบุญ ทำบุญเพื่อประสบความสำเร็จในชีวิต ขอให้ชีวิตนี้ราบรื่น ขอให้ชีวิตนี้มีความสุขพอสมควร ทีนี้ความสุขพอสมควร สิ่งต่างๆคนที่เขาทำ คนที่เขามีอำนาจวาสนาบารมีเขามีจุดยืนของเขาเขามีความเข้มแข็งของเขา เขาทำสิ่งใดเขาทำต่อเนื่องๆ ทำจนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ

ไอ้ของเรา พอเราล้มลุกคลุกคลาน เราก็มีความน้อยเนื้อต่ำใจแล้ว ทีนี้น้อยเนื้อต่ำใจถ้าคนอย่างนั้นเวลาเรามาบวชเป็นพระ เวลาเราประพฤติปฏิบัติเวลาปฏิบัตินะครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติ เวลาหลวงตาท่านบอก ท่านพูดเลยว่าในการทำงานของทางโลกที่ว่ามันเหนื่อยยากทุกข์ยากขนาดนั้น อย่าเพิ่งพูดว่ามันเป็นความทุกข์ยาก ให้ได้มาประพฤติปฏิบัติก่อน ถ้าให้ได้มาประพฤติปฏิบัติก่อน

เวลาทางโลกเราว่าสิทธิเสรีภาพ ทำสิ่งใดก็ได้ แต่เวลาเราปฏิบัติ เราบังคับตัวเราเองไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านนั่งตั้งแต่ ๖ โมงเย็นยัน ๖ โมงเช้านะถ้าอรุณไม่ขึ้น ไม่เลิก เรานั่งในกิริยาเดียว เรานั่งอิริยาบถเดียวอิริยาบถเดียวถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งมันก็ลุกแล้วเพราะความเข้มแข็งของใจ ถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง มันทำสิ่งใดมันก็ทำได้ เพราะอะไร เพราะความพอใจ ถ้าใจมันตั้งสัจจะมันทำของมันแล้วทำสิ่งนี้มันต้องมีความเข้มแข็ง ความเข้มแข็ง การทำต่อเนื่อง ถ้าการทำต่อเนื่องของเราอย่างนี้มันถึงจะว่าเป็นงานที่มันทุกข์ยาก

เวลางานทุกข์ยากทางโลกมันเป็นความทุกข์ยากทางโลกนะความทุกข์ยากทางโลก คนเราเกิดมา ความรู้สึกความนึกคิดอันนี้สำคัญมากอารมณ์ความรู้สึกของเรามันแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเวลาวันไหนอารมณ์เราดีโลกนี้มันดูสวยงามไปหมดเลย แต่เวลาอารมณ์เรามันทุกข์มันยากขึ้นมา โลกนี้มันไม่น่ารื่นรมย์เลยแต่สิ่งนี้มันเกิดดับในหัวใจ แต่เกิดดับในหัวใจเราก็ศึกษา ศึกษาแล้วเราไม่เข้าใจศึกษาไม่เข้าใจเราก็บอกว่าสิ่งนี้เวลาเราภาวนาเราบอกว่าความรู้สึกนี้เป็นหัวใจความรู้สึกนี้เป็นจิต อารมณ์ความรู้สึกเป็นจิต

แต่คนที่ภาวนาแล้วอารมณ์ความรู้สึกมันเกิดดับๆอารมณ์มันเกิดมาจากไหนอารมณ์มันเกิดมาจากไหนปฏิสนธิวิญญาณฐีติจิต อารมณ์มันเกิดมาจากไหน? อารมณ์มันเกิดมาจากใจแล้วถ้าใจ ใจมันอยู่ไหนล่ะ เราค้นคว้าหาใจของเราไม่เจอเราค้นคว้าหาใจของเราไม่เจอเราเจอแต่อารมณ์ความรู้สึกของเรา ถ้าเราเจออารมณ์ความรู้สึกของเรา อารมณ์ความรู้สึกของเรานะ “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา” มารมันปั้นแต่งมาให้พร้อมแล้ว อารมณ์ความรู้สึก มารมันปั้นแต่งมาให้พร้อมแล้ว มันก็เป็นจริตนิสัยของคนใช่ไหม คนที่นิสัยเข้มแข็ง คนที่เขามีสติปัญญา อารมณ์ความรู้สึกของเขา เขาคัดแยกความคิดรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ออกมามันจริงหรือไม่จริง มันควรเชื่อหรือมันไม่ควรเชื่อ

แต่ถ้าคนอ่อนแอ “มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา” มันดำริ มารก็ปั้นแต่งมาให้แล้ว พอปั้นแต่งให้แล้วก็เชื่อถือมัน แล้วเชื่อถือสิ่งนี้ แล้วเราเชื่อเราเชื่อเพราะอะไร เพราะว่าอวิชชาความไม่รู้ของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาต้องเข้าไปจุดนี้ พอเข้าไปจุดนี้เขาถึงต้องทำความสงบของใจไง

เวลาทำความสงบของใจนะ เราพุทโธๆ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ พอจิตมันสงบเข้ามา เราก็มหัศจรรย์กับหัวใจของเราแล้ว ถ้าเรามหัศจรรย์กับหัวใจของเราแล้วนะ ถ้ามันเกิดการวิปัสสนาเวลาครูบาอาจารย์ท่านวิปัสสนาไปมันลึกซึ้งกว่านี้ พอลึกซึ้งกว่านี้ ความมหัศจรรย์กว่านี้มันมีอีกมากเลย

ทีนี้พอจิตเราสงบเข้ามามันก็มีความมหัศจรรย์ พอความมหัศจรรย์ขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบแล้วเราก็มั่นใจ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เรารู้เองเห็นเอง พอเรารู้เองเห็นเอง เราก็เชื่อมั่นว่าสิ่งนี้มันจะอยู่กับเราตลอดไป แต่ความจริงมันไม่ใช่ เพราะเราพูดกันปากเปียกปากแฉะเลย “สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง” ความที่มันมีความสุขความที่มหัศจรรย์มันก็เป็นอนิจจัง พอเป็นอนิจจัง พอมันเปลี่ยนแปลงไป

คนเราเวลามันมีความรู้สึกที่ดีๆ ดูเด็กเล็กๆ เด็กเล็กๆมันไร้เดียงสานะพอไร้เดียงสาเวลามันพูดสิ่งใดผู้ใหญ่อึ้งเลยล่ะ เพราะมันพูดออกมาจากความรู้สึกของมัน เด็กเล็กๆ มันไร้เดียงสาเลยเวลาเด็กมันโตขึ้นมา พอโตขึ้นมาก็ต้องศึกษาแล้วว่าพูดอย่างนี้ไปมันแบบว่ามันไม่มีมารยาทพูดอย่างนี้ไปสังคมเขารับไม่ได้ มันก็ต้องมีมารยาท พอมีมารยาทไปมารยาทมันเป็นทางโลกแล้ว มันเป็นทางโลกขึ้นไป พอโตขึ้นมาเด็กมันโตขึ้นมามันก็มีมารยาทของมัน มันมีความรู้สึกนึกคิดของมัน มันเก็บสิ่งใดไว้ในหัวใจสิ่งใดเก็บไว้ พูดสิ่งใดพูดไปไม่ให้กระทบกระเทือน พูดสิ่งใดไปแล้วไม่ให้มีความเป็นโทษกับตัวเอง นี่มันเป็นทางโลกแล้วแต่เวลามันเป็นเด็กๆ มันไร้เดียงสา มันพูดออกมาโดยความไร้เดียงสาของมันจิตของเราเวลาสงบเข้าไป มันเข้าไปสู่ฐีติจิตของเรา เข้าไปสู่ฐีติจิตเหมือนกับไร้เดียงสา มันไร้เดียงสาแล้วทำอย่างไรจะให้มันโตขึ้นมาล่ะ

เวลาโตขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ามันมาแต่เหตุ มันเป็นขึ้นมาได้เพราะมันมีเหตุมีผลของมัน ถ้ามีเหตุมีผลของมันเห็นไหม งานทางโลก งานทางโลกมันก็ต้องมีเหตุมีปัจจัยของมันมา มันต้องมีเหตุมีผลของมันถ้ามีเหตุมีผล เราทำหน้าที่การงานของเราด้วยสติปัญญาของเรา ด้วยความมุมานะของเรา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้มีศรัทธามีความเชื่อ ถ้ามีศรัทธา เรามีศรัทธา เราทำสิ่งใดด้วยความศรัทธาด้วยความเชื่อของเราทำสิ่งนั้นมันทำด้วยความพอใจแต่สิ่งใดมันขัดแย้ง สิ่งใดมันขัดแย้ง เราทำไปด้วยโดนบังคับด้วยความไม่เชื่อถือ มันทำไปแล้วมันโลเล มันโลเลมันไม่เป็นความจริง

เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา แล้วเราเชื่อแล้วเราทำของเรา ถ้าทำของเรา เรามาวัดมาวา เรามาวัดใจ เขาว่าไปวัดๆ ไปทำไม? ไปวัดความรู้สึกของเรานี่แหละเวลาไปวัด ไปวัดความรู้สึกของเรามันพอใจไหมบางทีไปวัดครั้งแรกมันปลื้มใจมาก มันดีใจมากเวลาไปต่อเนื่องมันชินชานะ พอมันชินชา เพราะเราขาดสติ

สติมันควรจะรักษาให้ดีถ้าสติมันควรรักษาให้ดี เราบอกเราตั้งสติไว้แล้วตั้งสติไว้ ตั้งไว้เท่านั้นแล้วก็จบแล้ว สติมันเป็นสติ แต่ถ้าเราระลึกรู้ สิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควรเราตั้งสติของเราเราดูแลหัวใจของเรา ดูแลหัวใจ ความรู้สึกนึกคิดมันยิ่งใหญ่ คนที่เวลามันยิ่งใหญ่ เวลาหลวงตาท่านบอกว่าสิ่งใดที่สัมผัสธรรม มันมีแต่ความรู้สึกเท่านั้น ความรู้สึกอันนี้มันสัมผัสธรรม แล้วความรู้สึกนี้ถ้าตั้งสติไว้ เราดูแลรักษา

เวลาในครอบครัวของเรา ลูกหลานของเรา ถ้าเราควบคุมดูแล เรามีอะไรปรึกษากันมันก็อบอุ่นใช่ไหม เขามีสิ่งใดเขาจะปรึกษาเรานี่ก็เหมือนกันเวลาสติของเรามันระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา มันดูแลหัวใจของเรา หัวใจของเรามันก็เหมือนข้างนอก ข้างนอกเรามีชาติมีตระกูลเรามีครอบครัวของเรา เราต้องดูแลรักษาของเรา เด็กมันยังไม่ทันโลก เราต้องเป็นพี่เลี้ยงให้จนกว่าเขาจะเข้มแข็งขึ้นมาเขาจะยืนสู้โลกได้ ถ้าเด็กของเรามันมีอำนาจวาสนามาอภิชาตบุตรบุตรดีกว่าพ่อดีกว่าแม่ บุตรดีปัญญากว้างขวางกว่า แต่บุตรของเรา บุตรของเราถ้าเสมอเราก็ดีแล้วล่ะ แต่ถ้าบุตรของเรามันซื่อ บุตรของเราเป็นสิ่งใด เราก็ต้องฝึกฝนของเราไป

หัวใจของเรา เราก็ต้องดูแลของเราถ้ามันดีขึ้นมามันก็ดีขึ้นมา ดีขึ้นมาด้วยสติด้วยปัญญาของเราถ้ามันดีขึ้นมาด้วยสติปัญญาของเรานะ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซาบซึ้งมากธรรมและวินัยนี้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทฤษฎี เวลาเป็นจริง เป็นความจริงในหัวใจของเรา ถ้ามีสติ

สติเราศึกษามา ศึกษามา สติก็คือสติแต่เวลาระลึกรู้มันแก้ไขนะทำไมหัวใจของเราถ้ามันพลั้งเผลอไป มันไปคลุกคลี มันไปคลุกคลีอารมณ์ความรู้สึกที่แย่ๆตลอดเวลา เวลาสติขึ้นมามันปลดปล่อยเลยมันวางได้เลย อ๋อ! สติมันมีคุณประโยชน์ขนาดนี้ แล้วเราพุทโธๆ ไป ถ้าต่อเนื่องไป เราจะเห็นคุณค่าของสติเราเลย

พอเห็นคุณค่าขึ้นมา คำว่า “สติ” ในตำรากับความเป็นจริงอันนี้มันแตกต่างกันมากเลยความเป็นจริงอันนี้มันคุ้มครองดูแลใจเรา แล้วเรามีสติ พอมีสติแล้วมันก็เต็มใจทำงาน เพราะว่าธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ามีคำบริกรรม ถ้ามีปัญญาอบรมสมาธิ เราจะรักษาใจของเราได้ รักษาใจของเราไม่ให้ไปคลุกคลีกับอารมณ์ความรู้สึกที่แย่ๆ นั่นน่ะอารมณ์ความรู้สึกที่แย่ก็เกิดมา “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” มารมันปั้นแต่งมาให้

ทำคุณงามความดีขนาดไหน ทำคุณงามความดีด้วยความเต็มใจของเรา พอมารมันปั้นแต่งมาให้นะ “ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย ทำแล้วมีความทุกข์”

ความดีของเรานะ เวลาย้อนไปดูพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ ๔อสงไขย ๘อสงไขย ๑๖อสงไขย สละชีวิต สละมาขนาดนั้น สละมาด้วยอะไร? สละมาด้วยความเต็มใจ สละมาด้วยความชื่นบานนะ เราเห็นชีวิตนี้สละได้อย่างไร ชีวิตนี้สละเลย พระโพธิสัตว์สละชีวิตมาตลอดเลย แล้วสละมาทำไม? ก็มีเป้าหมายไง เขามีเป้าหมาย มีเป้าหมายเสียสละเพื่อโพธิญาณ มีเป้าหมายไปข้างหน้า เสียสละ มีเป้าหมาย มันสละด้วยความพอใจมันทำมาอย่างนั้นแหละ นี่เขาเสียสละมาตลอด เวลาเสียสละมาตลอดแล้วเราล่ะ เราเวลาล้มลุกคลุกคลาน เราต้องมีความตั้งใจ ต้องมีความเข้มแข็งของเรา ถ้าเราล้มลุกคลุกคลานของเรา อำนาจวาสนาบารมีของเรา

เวลาเราปฏิบัติเราคิดเรื่องนี้ตลอดเวลา สิ่งใดเราทำมาทั้งนั้น มันเป็นกรรมของเราไง ไม่รู้ภพชาติใดทำแล้วมันถึงมาประสบวิกฤติอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเราทำกรรมมาแล้วทั้งนั้น พอเราเจอสภาวะแบบนั้นแล้วเรายอมรับอย่างนั้น เรายอมจำนนอย่างนั้น...ไม่ใช่

เราทำมาทั้งนั้น ทำมามันคือโจทย์ไง มันเป็นวิกฤติของเราไง ถ้าวิกฤติของเรา เราจะแก้อย่างไร เราทำมาทั้งนั้นเพื่อแก้ไข เราทำมาทั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมาเราทำมาทั้งนั้น แต่ทำมาแล้วในปัจจุบันนี้เรามีสติมีปัญญามันมีสติปัญญาเราก็แก้ไขแยกแยะไปไม่ใช่ว่าเราทำมาทั้งนั้นแล้วก็ยอมรับ ยอมจำนน...ไม่ใช่ เราทำมาทั้งนั้น แต่ทำมาเพื่อแยกแยะไง นี่ไงสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุๆเราสาวไปหาเหตุไง พอสาวไปหาเหตุ เราแก้สิ่งนี้ กรรมดีไงกรรมดีในปัจจุบันไง

ฉะนั้นเวลาเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนามันจะลงหรือไม่ลง เรื่องของมันแต่หน้าที่ของเราคือพุทโธ คือใช้ปัญญาอบรมสมาธิดูแลรักษาของเราไป น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนน้ำหยดลงหิน นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่กับพุทโธ อยู่กับปัญญาอบรมสมาธิ มันไม่เป็นไปได้ให้มันรู้ไปให้มันรู้ไปว่ามันเป็นไปไม่ได้

แต่นี่ครึ่งๆ กลางๆ ทำพอประมาณ ทำไปแล้วเดี๋ยวมันจะทำมากเกินไปแล้วมันก็คอยเงี่ยหูฟังนะ อันไหนมันทำง่ายๆอันไหนมันทำสะดวก แล้วใครเข้ามาชวนนะ“โอ๋ย! เอ็งทุกข์เอ็งยาก เอ็งโง่น่าดูเลย ทำอย่างนี้สะดวกกว่า”...ไปแล้ว มันทำแล้วมันทำไม่ได้มันยังเงี่ยหูฟังอีกด้วย อันไหนที่มันไปง่ายๆ แล้วง่ายๆ มันมีที่ไหนล่ะ? ง่ายๆ ก็แชร์ลูกโซ่ไง

เขาเตือนไว้นะ ผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงต้องสะกิดใจแล้ว ผลตอบแทนที่สูงๆ ต้องสะกิดใจแล้วว่ามันเป็นไปได้จริงหรือเปล่า ถ้าเราเชื่อก็แชร์ลูกโซ่ไงแล้วก็ไปแจ้งกองปราบไง แล้วก็เป็นชมรมทวงหนี้ไง เป็นทั้งหมดเลย ก็ไปทวงหนี้กัน

มันมีจริงอยู่หรือ ถ้ามันมีจริงอยู่ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สอน ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเป็นเจ้าของศาสนา เป็นผู้ที่จะมารื้อสัตว์ขนสัตว์ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่บอกว่าให้เรานอนอยู่กับบ้านนะ เดี๋ยวมรรคผลมันจะลอยมา นอนหลับไปตื่นมาเป็นพระอรหันต์...มันเป็นไปได้ที่ไหน มันไม่มีหรอก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้มีขันติ มีความอดทน มีความพยายาม มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียรด้วยความเพียรความวิริยะ ความอุตสาหะ แม้แต่เราทำหน้าที่การงานด้วยความขยันหมั่นเพียรถ้ามันจะผิดพลาดมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้ามันจะผิดพลาดนะ ผู้ใหญ่ที่เขาดูแลอยู่เขาให้อภัยนะ เขาเห็นว่าเด็กคนนี้มันมีความขยัน มีความหมั่นเพียรมีความอดทนทำสิ่งใดที่ผิดพลาด ผิดพลาดก็แก้ไข ผิดพลาดก็แก้ไข คนเราไม่เคยผิดพลาดมาเลย แล้วทำให้ถูกต้องมันจะเป็นอย่างไรล่ะคนของเรา ที่เราทำถ้ามันผิดพลาด เราก็แก้ไขของเรา คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ และมันต้องเป็นความเพียรชอบ ความเพียรชอบ เห็นไหม สัมมาทิฏฐิความรู้ความเห็นที่ถูกต้อง แล้วความรู้ความเห็นที่ถูกต้องด้วยปัญญาอย่างพวกเรา ปัญญาปุถุชน เราจะมีความรู้ความเห็นไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันอยู่ข้างหน้า มันจะเป็นไปได้อย่างไร

แต่ถ้าเราฝึกฝนขึ้นไป เราฝึกฝนของเราเราเก็บหอมรอมริบของเรา มันจะเป็นไปได้ไหมล่ะเราเก็บหอมรอมริบ เราคิดว่าเราจะไม่มีเงิน เราคิดว่าเราจะเป็นคนจน เราลองประหยัดมัธยัสถ์สิ หาได้สิบ เก็บไว้ห้า หาได้สิบเก็บไว้ห้า เก็บไว้ทุกวันๆ มันจะมีทรัพย์ไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราทำของเราไป“โอ้โฮ! เราจะมีปัญญาอย่างนั้นเชียวหรือ เราจะล่วงพ้นจากทุกข์ไปได้หรือ”

เรามีหัวใจ หัวใจมันจะเป็นผู้พ้นหัวใจลองได้ถากได้ถาง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าถางป่าโดยที่ไม่ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวไง เราบอกเราถากเราถาง เราก็จะเอามีดเอาขวานไปถางป่าแล้ว...ไม่ใช่หรอก สติปัญญาใช้สติ ใช้สมาธิใช้ปัญญา มันถากมันถางถากถางด้วยอะไร

ปัญญามันแยกแยะ เราคิดถูกหรือคิดผิด เวลาคิดผิดคิดผิดเพราะเหตุใด ถ้าเราคิดถูกทำไมเราถึงทำถูก ทำถูกอย่างนี้มันจะเป็นต้นแบบของเรา ถ้าเราทำถูกอย่างนี้เราต้องมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ ถ้าเราทำผิด ทำผิด เราไม่ควรทำอย่างนี้อีก นี่ปัญญามันแยกแยะ นี่ไงถางป่าโดยที่ไม่ได้ตัดป่าแม้แต่ต้นเดียวเลย มันตัดทิฏฐิมานะความเห็นผิดของเรา มันแยกมันแยะ มันดูแลหัวใจของเรา ถ้าปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้น สิ่งที่ปัญญาเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นจากไหนล่ะ มันเกิดขึ้นจากตำราไหมล่ะ? มันเกิดขึ้นมาจากความเพียร ความวิริยะความอุตสาหะสิ่งที่ว่าเราทำไม่ได้ๆ แล้วจากเป็นปุถุชนมันก็จะเป็นกัลยาณปุถุชน

จากปุถุชนคนหนาคนหนาคือว่ามันทำสิ่งใดมันต้องลงทุนลงแรงมากกว่าเขา มันทำสิ่งใด สิทธิเสรีภาพเราน้อยกว่าเขา ความรู้สึกเราเห็นแตกต่างเขา มันใช้ปัญญาแยกแยะเราต่อสู้แยกแยะจนมันเห็นถูก

เห็นถูกเห็นไหม รูป รสกลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นบ่วง มาหลอกมาล่อไง เป็นพวงดอกไม้แห่งมารทั้งๆ ที่เกิดกับเราของที่เกิดกับเราทำไมต้องให้มันมาหลอกมาล่อเราล่ะ ของที่เกิดกับเรา ทำไมมันรัดคอเราล่ะ ของที่อยู่กับเรา มันเกิดกับเรา แล้วเราก็หลงตัวมันหลงความคิดมันพอหลงแล้วเราก็เป็นขี้ข้ามันไง

แต่ถ้าเราแยกเราแยะ เห็นไหม รูป รส กลิ่นเสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมารเราละเสีย เราตัดขาด รูป รสกลิ่น เสียง เราก็ใช้มันอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ รูปรส กลิ่น เสียงบ่วง บ่วงคือมันร้อยรัดไว้ แต่พอเราเข้าใจแล้วรูป รส กลิ่น เสียงก็เป็นรูป รส กลิ่นเสียงอยู่อย่างนั้นเพราะเราต้องสื่อสารกันด้วยเสียง เราต้องเห็นรูป เราต้องเข้าใจ รูป รสกลิ่น เสียงมันเก้อๆ เขินๆ นี่กัลยาณปุถุชนปัญญามันเกิดขึ้น พอปัญญามันเกิดขึ้น ถ้าจิตสงบมันรักษาได้ง่ายแล้ว เพราะมันเห็นแล้ว เราไม่เป็นทาส ใจไม่เป็นทาสกิเลสใจไม่เป็นทาสอารมณ์ มันมีความสุขนะอารมณ์มันจะรุนแรงขนาดไหนใจมันไม่เป็นทาส มันรักษาของมันได้ ถ้ารักษาของมันได้มันทำความสงบของใจได้ง่ายขึ้นแล้ว

แล้วพอง่ายขึ้น พอจิตมันสงบแล้วถ้าไปเห็นกาย มันเห็นคนละสถานะสถานะของปุถุชนมันก็เห็นสถานะของปุถุชนมันก็รู้มันก็เห็น แต่สถานะของจิตที่มันเป็นกัลยาณชน จิตมันสงบแล้วมันมีสถานะ ฐีติจิต จิตที่มันไม่มีอวิชชาที่กิเลสมันปั้นแต่งให้เราไม่ได้พอกิเลสมันจะปั้นแต่งขึ้นมา มันดำริ มันจะปั้นแต่งให้มา เราก็มีสติปัญญารู้เท่ามัน มันก็วางๆมันก็เป็นพลังงานที่สะอาดบริสุทธิ์สัมมาสมาธิเวลามันไปเห็นกายมันเห็นแตกต่างแล้ว พอเห็นกายมันเห็นคนละเรื่องแล้วพอเห็นกายขึ้นมา มันเห็นกายขึ้นมาเพราะอะไร เพราะใจมันเห็นไง เราให้ใจทำงานไง เราไม่ให้สมองทำงานไง

แต่เดิมสมองทำงานเวลาคิดสิ่งใดมันต้องสั่งสมองสมองก็สั่งไป แต่ต่อไปมันหดสั้นเข้ามา ใจมันทำงานแล้ว เราให้ใจทำงานพอใจทำงานมันก็เป็นมรรค พอเป็นมรรคขึ้นมา“ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” ไม่มีกิจจญาณ สัจจญาณไม่มีสัจจะความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามา ศาสนานั้นไม่มีมรรค

ของเรามันมรรคจำมรรคเปรียบเทียบ มรรคกู้ยืมเรากู้ยืมเขามามันมีดอกเบี้ยเรากู้ยืมเขามาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราไปกู้ยืมมา เราไปฟังครูบาอาจารย์มาเราก็กู้ยืมมา มันไม่เป็นความจริงของเราไง แต่ถ้าเราทำเอง เราแยกแยะเอง มันเป็นของเรา ถ้ามันเป็นของเราเป็นความจริงของเรา หัวใจมันมีมรรคไง พอใจมันทำงาน ใจมันก็มีเหตุมีผลไงพอใจมีเหตุผลใจมันก็จะถอดถอนของมันไง ถ้าใจมันเข้าใจ มันเกิดมรรค

“ศาสนาไหนไม่มีมรรคศาสนานั้นไม่มีผล” เราทำกันอยู่นี้ เราขวนขวายอยู่นี้ เราขวนขวายเพื่อสร้างอำนาจวาสนาบารมีแล้วเราพัฒนาเข้าไปถึงใจ ใจมันเป็นจริงขึ้นมา อันนี้เป็นจริงแล้วเป็นจริงนะเวลามันปัจจัตตังหลวงตาท่านบอกว่าไม่มีสิ่งใดสัมผัสธรรมได้ ไม่มี มีแต่ความรู้สึก หัวใจเท่านั้นมันสัมผัสสัมผัสสมาธิสัมผัสปัญญาแล้วเวลามันสำรอกมันคายของมัน มันได้สัมผัสธรรม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เอวัง